โครงการที่จะเป็นศูนย์กลางการศึกษาในระดับภูมิภาคหรือที่เรียกกันติดปากว่า"Education Hub" นั้นไม่ได้มีเฉพาะแต่ในประเทศไทย สิงคโปร์วางยุทธศาสตร์ "Global Schoolhouse" ตั้งแต่ปี 2002 ตั้งเป้าว่าจะดึงดูดนักเรียนต่างชาติให้ได้ 1.5 แสนคนภายในปี 2015 และมีสถาบันการศึกษาระดับโลกมาเปิดในสิงคโปร์ให้ได้ 10 แห่งภายใน 10 ปี ส่วนมาเลเซียวางแผนจะเป็นศูนย์กลางการอุดมศึกษาของภูมิภาค (A Regional Hub for International Higher Education) และมีนักศึกษาต่างชาติ 1 แสนคนภายในปี 2010
ขณะนี้สิงคโปร์มีสถาบันการศึกษาระดับโลกหลายแห่งจากสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียเยอรมนี เนเธอร์แลนด์มาเปิดสาขาในประเทศสิงคโปร์ แต่การพัฒนา " G l o b a l Schoolhouse" ก็เกิดการสะดุดเมื่อ The Biomedical Research Facility of The US Johns Hopkins University ปิดตัวลง และAustralia's University of New South Wales ยกเลิกสาขาในสิงคโปร์ หลังจากการดำเนินงานได้เพียง 1 ภาคการศึกษา เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนจากการมีนักศึกษาเข้าเรียนน้อยกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นๆ ในอาเซียนหลายประการในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาในระดับภูมิภาค ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา ความเป็นสากล การใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษาราชการ และการมีบริษัทข้ามชาติหลายพัน บริษัทตั้งอยู่ในประเทศ เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงานหรือทำงานในบริษัทเหล่านี้
สำหรับมาเลเซียการเป็นศูนย์กลางการอุดมศึกษาของภูมิภาคแน่นอนว่าจะต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ นอกจากนี้การศึกษาของมาเลเซียยังคงมีปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและการประกันคุณภาพการศึกษา ถึงแม้ชาวมาเลเซียไม่มีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษแต่เมื่อเทียบแล้ว ต้องนับว่าสิงคโปร์มีภาษีดีกว่าในเรื่องของคุณภาพการศึกษา
เมื่อมองจากปัจจัยแวดล้อม ประเทศมาเลเซียอาจได้ประโยชน์มากกว่าที่จะมุ่งเน้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านอิสลามศึกษาเพราะตั้งอยู่ใกล้ประเทศอินโดนีเซียที่มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลก และความสนใจด้านอิสลามที่เพิ่มมากขึ้นหลังเหตุการณ์9/11 (บทความของ Dale Down วันที่ 6 ก.ย.2552; http://www.universityworldnews.com/) ในขณะเดียวกันมาเลเซียต้องเร่งปรับปรุงมาตรฐาน การศึกษาของประเทศให้เข้าสู่ระดับสากลเพื่อรองรับนักศึกษาต่างชาติ
หันมาดูความเป็นไปได้ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาในระดับภูมิภาคอาเซียนกันบ้าง นโยบาย Education Hub ของประเทศไทยครอบคลุมการศึกษาขั้นพื้นฐานอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการมีงบประมาณให้กับโครงการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งประจำปีงบประมาณ 2553 จำนวน 538 ล้านบาทงบประมาณจำนวนนี้ต้องนำมาปรับปรุงพัฒนาสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนให้เป็นมาตรฐานสากล
เมื่อเปรียบเทียบบริบทของประเทศไทยกับสิงคโปร์และมาเลเซีย ประเทศไทยมีข้อเด่นตรงที่ตั้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนทำให้การเดินทางคมนาคมเป็นไปอย่างสะดวกจำนวนชาวต่างประเทศในไทยที่เพิ่มมากขึ้น บุตรหลานของชาวต่างประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาในไทย
แต่ข้อด้อยที่เห็นได้ชัดเจนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับสองประเทศข้างต้น คือทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการศึกษา เนื่องจากไทยไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการทำให้จำนวนบุคลากรทางการศึกษาที่สื่อสารกับนักเรียนต่างชาติได้ดี มีน้อยกว่าสิงคโปร์และมาเลเซีย ชื่อชั้นของสถาบันการศึกษาไทย ในสายตาชาวต่างชาติเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ก็ต้องยอมรับว่าเรายังด้อยกว่า
ดังนั้น งบประมาณที่ใช้จึงควรเน้นด้านการพัฒนาครูและบุคลากร ปรับปรุงหลักสูตรการสอนให้มีประสิทธิภาพเทียบได้กับมาตรฐานสากล เพราะฉะนั้นการจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างประเทศเลือกมาเรียนเป็นอันดับแรกของภูมิภาคเพราะคุณภาพการศึกษา จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาพัฒนาในระยะยาว
ส่วนการเพิ่มจำนวนนักเรียนต่างชาติในระยะสั้นควรมุ่งเน้นไปในจุดที่ไทยมีศักยภาพหรือมีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว ประเทศที่มีนักศึกษามาเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของไทยมากที่สุดคือ จีน ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนามตามลำดับ ประเทศเหล่านี้มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศไทย ทำให้การปรับตัวของนักศึกษาทำได้ง่าย บางประเทศ เช่น ลาว ยังไม่มีอุปสรรคด้านภาษา สามารถเรียนในหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาไทยได้เลย
นอกจากนี้ ภาคเอกชนของไทยมีการลงทุนทางธุรกิจในประเทศเหล่านี้เป็นจำนวนมากภาคเอกชนอาจช่วยสนับสนุนโดยให้โอกาสนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือจบการศึกษาในประเทศไทยเข้าฝึกงานหรือทำงานกับบริษัทไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศเหล่านี้
การเรียนการสอนอีกอย่างหนึ่งที่มีชาวต่างชาติสนใจเรียนกันมากแต่มักจะถูกมองข้ามไปเมื่อพูดถึง Education Hub คือ การสอนเรื่องที่ประเทศไทยเป็นผู้คิดค้นหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น ภาษาไทย มวยไทย อาหารไทย นวดแผนโบราณ โรงเรียนที่เปิดสอนวิชาเหล่านี้มักมีนักศึกษาต่างชาติให้ความสนใจเรียนกันมาก
ตัวอย่างเช่น โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร(วัดโพธิ์) มีการเปิดสอนให้ชาวต่างชาติในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการเปิดสอนในญี่ปุ่น ออสเตรีย และฟิลิปปินส์ หลักสูตรเหล่านี้เป็นการศึกษานอกระบบจึงมีหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่นด้านเวลา นักเรียนสามารถเลือกเรียนคอร์สระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาวได้ตามความสนใจและความเหมาะสม กลุ่มเป้าหมายจึงไม่ใช่เพียงแค่ชาวต่างชาติที่ตั้งใจเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยในช่วงสั้นๆการทำประชาสัมพันธ์โปรแกรมลักษณะ Study & Travel อาจช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและนักเรียนต่างชาติ นอกจากนี้การกวดขันมาตรฐานของสถาบันที่เปิดหลักสูตรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ลูกค้าต่างชาติเกิดความมั่นใจ
การเสริมจุดแข็งของไทยโดยมุ่งเน้นไปที่นักศึกษาจากประเทศจีน ลาว พม่า กัมพูชาเวียดนาม และการส่งเสริมการศึกษานอกระบบที่ไทยเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายEducation Hub ของไทยแยกออกไปจากสิงคโปร์และมาเลเซีย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ถ้าความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่ไทย จะพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางการศึกษาในระดับภูมิภา