เมื่อเอาระบบของไทยไปเทียบกับระดับโลก จะเห็นว่าประเทศไทยยังห่างไกลประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมาก แต่ต้องมาดูว่าปัจจุบันนี้การศึกษาของไทยและอาเซียน หรืออาเซียน+3 กับ +6 อยู่ในระดับไหน หากเราเอากรอบบวก 6 ซึ่งรวมทั้งเอเชียแปซิฟิกมาไว้ด้วยกัน จะพบว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่นเป็นระดับ High Consumption ที่เราต้องไปศึกษาจากเขา
สำหรับประเทศอินเดียนั้นส่งออกการศึกษามานานแล้ว โดยคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไปเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในเมืองภารตะ เช่นที่เมืองดาร์จีลิง และในช่วงที่ผ่านมาในแคว้นอัสสัม อย่างเมือง กุวาฮาตี แม้ว่าอินเดียจะพยายามส่งออกการศึกษาแต่แบรนด์ของอินเดียอาจจะไม่ดึงดูดนักศึกษา เพราะความไม่พร้อมด้านสาธารณูปโภคของประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอินเดีย Take Off มากว่า 20 ปีแล้ว
ส่วนเกาหลีนั้นมีจุดอ่อนคือ เขาเดินตามญี่ปุ่นจนลืมนึกว่า ภาษาเกาหลีไม่ได้เป็นภาษากลางของโลก ดังนั้นนอกจากกระแสเกาหลีฟีเวอร์แล้ว แม้เกาหลีพยายามที่จะ Take Off แต่ Product ของเกาหลีอยู่ในปริมาณที่จำกัดด้านภาษา
ส่วนประเทศจีน ตอนนี้เป็นทั้งผู้ส่งออกการศึกษาและตลาดที่ใหญ่ที่สุดของการศึกษา ในประเทศไทย เราจะพบว่านักศึกษาจีนให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาไทยไม่แพ้นักศึกษาไทยที่ตื่นตัวการเรียนภาษาจีน เราอาจจะสงสัยว่าทำไม เราพบว่าประเทศจีนนั้นให้ความสำคัญกับภาษาในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นไทย ญี่ปุ่น เกาหลี หรือ เวียดนาม ดังนั้นเมื่อมองจาก ASEAN +6 แล้ว เราจะพบว่าประเทศไทยเป็นรองด้านศักยภาพทางการแข่งขันกับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แบบไม่เห็นฝุ่น ขณะที่อินเดียกับจีนจะเป็นในรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนไทยไปอินเดียกับจีน หรือนักเรียนเขาเองก็มาเมืองไทยไม่น้อย ในขณะที่ประเทศเกาหลีเองก็มีความสนใจอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำจากไทยและเกาหลีเอง
เมื่อหันมามองรอบๆ ตัวเราและสิบประเทศอาเซียน ประเทศที่ต้องการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างมากคงหนีไม่พ้นลาว กัมพูชา หรือพม่า ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย จะเห็นได้ชัดว่าชนชั้นกลางโดยเฉพาะประชาชนเชื้อสายจีนนิยมส่งบุตรธิดาไปเรียนในต่างประเทศ ส่วนฟิลิปปินส์ก็เคยเป็นประเทศที่ Take Off ไปเมื่อห้าสิบปีก่อน แต่เนื่องจากไม่รักษามาตรฐานทั้งการศึกษาและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยตึกแถว ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงทางการศึกษาของเมืองตากาล็อก อย่างกู่ไม่กลับ นอกจากนี้มาตรฐานที่ลดลงของฟิลิปปินส์ทำให้อดีตผู้ส่งออกการศึกษารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนกำลังที่จะเริ่มส่งนักศึกษาออกไปต่างประเทศแทน
สำหรับสิงคโปร์นั้นได้ส่งออกการศึกษาจนเป็น High Consumption ไปแล้ว เพราะถ้าไม่ติดว่าเป็นเอเชีย สิงคโปร์แทบจะไม่มีความแตกต่างจากเมืองฝรั่งอีกต่อไป ประเทศไทยเองได้ Take Off ด้านการศึกษาอย่างเต็มตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในอดีตที่ผ่านมาการศึกษาไทยอาจจะเป็นในรูปแบบเดียวกับญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่ผู้มาศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านต้องเรียนภาษาไทยก่อน อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวของโรงเรียนนานาชาติ ตามด้วยมหาวิทยาลัยนานาชาติในช่วง2ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยได้เปิดตัวเป็น Provider ด้านการศึกษาในระดับสากล โดยนักศึกษาที่เลือกมาเรียนในประเทศไทยนั้นมาจากอาเซียนและแอฟริกา และเอเชียส่วนต่างๆ รวมถึงนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากอเมริกา ยุโรป ซึ่งเลือกประเทศไทยเป็นตลาดการศึกษาเช่นกัน
ถ้าหันมามองการเปิดตลาดเสรีอาเซียนว่าจะมีผลกระทบกับการศึกษาไทยหรือไม่ เราสามารถเห็นได้ทั้งปัญหาและโอกาส ปัญหานั้นเราจะพบได้หลายอย่างเช่น การบริการวีซ่าจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย หากวัดกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศที่มีความพร้อมแล้ว เรายังต้องปรับปรุงอีกมาก ในปัจจุบันนี้วีซ่านักศึกษาของไทยใช้ Non-Immigrant Visa ซึ่งการขอเอกสารค่อนข้างวุ่นวายในระดับหนึ่ง ขณะที่ประเทศที่ส่งออกการศึกษาจะมีวีซ่านักศึกษาแยกออกมาเป็นชนิดพิเศษ โดยในบางประเทศสามารถขอonline ได้ ในขณะที่ประเทศไทยจะต้องไปที่ศูนย์ราชการ และนักศึกษาจากบางประเทศต้องคอยรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกๆ90วัน ในขณะที่ต่างประเทศเขาจะตัดความยุ่งยากเหล่านี้ออกไปด้วยการต่อวีซ่าเป็นรายปี นอกจากนี้การเปลี่ยนชนิดของวีซ่าในไทย หลายครั้งชาวต่างชาติจำเป็นต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ในขณะที่ในต่างประเทศจะสามารถขอเปลี่ยนสถานะวีซ่าได้โดยไม่ต้องออกนอกประเทศ
นอกจากความพร้อมด้าน Immigration แล้ว ประเทศไทยยังต้องปรับทัศนคติต่อชาวต่างประเทศโดยเฉพาะการตั้งแง่กับชาวต่างชาติที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและแอฟริกา การที่เรามีทัศนคติที่เป็นลบกับประเทศเพื่อนบ้านย่อมส่งผลต่อทัศนคติเชิงลบของพวกเขาต่อประเทศไทยเช่นกัน สิ่งนี้บ่งชี้ถึงความไม่พร้อมของประเทศไทยในการเป็น Education Hub เช่นกัน
สิ่งที่เราพบเห็นคือความสับสนของบทบาทและวัฒนธรรมของประเทศไทยกับความเป็นอาเซียน หลายครั้งที่ผมได้รับเชิญไปร่วมงานโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อชมการแสดงเกี่ยวกับอาเซียนผมพบว่าเราให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมไทยจนแทบจะเรียกว่า ไม่รับรู้วัฒนธรรมของชาติอื่นๆ มากนัก นอกจากการแต่งชุดประจำชาติของเขา ความรู้และการตื่นตัวของชาวไทยต่ออาเซียนนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเกือบที่สุดในอาเซียนทีเดียว
ในการสัมมนาความพร้อมด้านอาเซียนหลายหน ผมพบว่าเราสับสนกับบทบาทของเราเองมาก เช่นการประชุมเตรียมความพร้อมของจังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือ หลังจากที่ภาครัฐและเอกชนพูดถึงความพร้อมจนกระทั่งมีความเห็นว่าภาคเหนือของไทยนั้นมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการศึกษาของอาเซียน และอาจจะรวมไปถึงประเทศจีนเลยทีเดียว ปรากฏว่าหลังจากสัมมนาสักพักผมเจอกับความคิดเห็นอย่างการแต่งเครื่องแบบนักศึกษาหรือการโปรโมตให้นักศึกษาแต่งชุดไทยในบางวัน ทำให้เริ่มสงสัยว่าตกลงเราจะไปอาเซียนหรือจะให้ทั้งอาเซียนมาเป็นไทย ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังผมมองว่า ไม่ต้องไปคิดถึง2015เลย ต่อให้ 2050 ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
อีกตัวอย่างที่ผมเห็นแล้วไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คือข่าวที่ว่า ภาษาไทยจะเป็นหรือมีศักยภาพที่จะเป็นภาษากลางของอาเซียน ทั้งๆ ที่ภาษาราชการของอาเซียนคือภาษาอังกฤษ เราไปคิดหรือหลงตัวเองว่าชาวกัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า เขาเรียนภาษาไทยแล้วเราก็จะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน แต่ชาวอินโดนีเซ