ปรัชญาการเมืองของกรีก
ปรัชญาการเมือง คือ การศึกษา หรือความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง เพื่อนำไปสู่รูปแบบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุด และนำไปสู่ความสุขของประชาชน โดยส่วนมากจะเน้นพวกตะวันตกมากกว่า ในที่นี้จะขอกล่าวถึง นักปราชญ์กรีกทั้ง 3 คือ Socrates, Plato, Aristotle ผู้ซึ่งวางรากฐานปรัชญาการเมืองไว้
Socrates (469 – 399 B.C) เป็นชาวนครรัฐเอเธนส์ (Athens)
- แสวงหาความรู้ที่ถูกต้องที่เป็นความรู้สากล
- ใช้วิธี Dialectic ตั้งคำถามให้ผู้อื่นตอบ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งตอบ ก็ตั้งคำถามโต้แย้ง จนอีกฝ่ายหนึ่งจนแต้ม โดยจะต้องใช้เหตุผล และหลักทางตรรกวิทยา
- แสวงหาความจริง ความรู้ ความยุติธรรม
- ไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของคน
- ผู้ปกครองที่ดีควรต้องมีความรู้ และสติปัญญา
- ไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบประชาธิปไตยของกรีก เนื่องจาก
1. การใช้เสียงข้างมากเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีเวลา และไม่มีความฉลาด
2. ผู้นำทางการเมืองจะมาจากการเลือกตั้ง สนับสนุนของคนส่วนใหญ่ ทำให้ได้ผู้ปกครองที่ไม่มีความรู้ แต่เป็นผู้ปกครองที่ได้รับความนิยม
- การยึคปรัชญาที่อาศัย “คุณธรรม คือ ความรู้” (Virtue is Knowledge) เป็นฐานกัดกร่อนข้ออ้างของระบอบประชาธิปไตยในเรื่องการมีวิธีการปกครองที่มีประสิทธิภาพ และความยุติธรรม ทำให้เสรีภาพในการอภิปรายหมดคุณค่า
- วิจารณ์เสรีภาพของชาวเอเธนส์ด้วยความขมขื่น
- สิ่งที่นักการเมืองผลิต คือ ขยะ
- วิธี Dialectic ทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดความรำคาญ เพราะ Socrates โต้แย้งและสอนให้คนสงสัยในทุกสิ่ง
- การสอนไม่ให้เชื่อ ไม่ยอมรับเทพเจ้าที่คนในนครรัฐเชื่อถือกัน
• ข้อกล่าวหาว่า Socrates สร้างเทพเจ้าองค์ใหม่
• ข้อหาบ่อนทำลายและมอมเมาเยาวชน ถูกคณะลูกขุนตัดสินให้ดื่มยาพิษ Hemlock สิ้นชีวิต
- ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของ Socrates ส่วนมากจะรู้มาจากคำบอกเล่าของ Plato และการตีความของนักคิดในยุคต่อๆ มา
- ถึงแม้ว่า Socrates จะไม่เห็นด้วยกับระบอบประชาธิปไตยแบบกรีก แต่เขาก็เคารพในกฎหมายของรัฐ
Plato (427 – 347 B.C) เป็นลูกศิษย์ของ Socrates
- ความรู้ที่แท้จริง คือ คุณธรรมและเหตุผล
- ไม่เชื่อในเรื่องของความเท่าเทียมกัน เพราะคนเรามีความสามารถและความถนัดแตกต่างกัน
- เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The Republic (อุตมรัฐ) เสนอรูปแบบการปกครองของรัฐที่ดีเลิศในอุดมคติ แบ่งคนออกเป็น 3 ชนชั้น ตามความสามารถ โดยใช้การศึกษาเป็นตัวจำแนก ได้แก่
1. ชนชั้นต่ำ – ชาวนา ช่าง พ่อค้า
2. ชนชั้นกลาง – นักรบ ทหาร ป้องกันนครรัฐจากศัตรู
3. ชนชั้นสูง – เป็นผู้ปกครอง มีเหตุผลและสติปัญญาสูงสุด
ผู้ปกครอง ก็คือ ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ฉลาดเลิศล้ำโดยกำเนิด ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นผู้ปกครอง
- ความยุติธรรมเป็นคุณธรรมสูงสุด รัฐที่ดีที่สุด คือ รัฐที่ให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
- เขียนหนังสือการเมืองอีกหลายเล่ม ในรูปแบบการสนทนาตอบโต้
- เป็นบิดาวิชาปรัชญาทางการเมือง
- ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยแบบกรีก โดยเฉพาะประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากที่ได้ตัดสินประหารชีวิต Socrates
Aristotle (384 – 322 B.C) เป็นลูกศิษย์ของ Plato
- เรียนที่ Academy 19 ปี กับ Plato
- เป็นอาจารย์ผู้สอนที่ Academy
- ไปสอนหนังสือ Alexander the Great แห่ง Mecedonia ได้เอารัฐธรรมนูญกว่า 158 ฉบับจากเมืองที่ตีได้ให้ Aristotle ศึกษา
- ต่อมาได้กลับมายังกรุงเอเธนส์ได้ตั้งโรงเรียน Lyceum ขึ้นใกล้กรุงเอเธนส์
- การศึกษาเปรียบเทียบของ Aristotle ได้จำแนกรูปแบบการปกครอง ออกเป็น 6 รูปแบบ โดยใช้เกณฑ์ จำนวนผู้ปกครอง กับ ความมีจริยธรรมของผู้ปกครอง
1. ราชาธิปไตย (Monarchy)
โดย กษัตริย์ (king/monarch) มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นระบอบการปกครองที่มีการสืบสายโลหิต สืบสันตติวงศ์ โดยผู้ปกครองตระกูลหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการนับสายโลหิตทางพ่อ หรือทางแม่ก็ได้ แล้วแต่ประเพณีระบอบการเมืองนั้นๆ การสืบสายโลหิตที่ว่านี้ จะมีการจัดตามลำดับของเจ้านายในวงศ์ตระกูลนั้น
Plato และ Aristotle ต่างมองว่าราชาธิปไตยในที่นี้ควรจะปกครองโดยราชาปราชญ์ (Philosopher King) ซึ่งเป็นการปกครองที่ดีในอุดมคติ คุณธรรมของผู้ปกครองนี้จะทำให้เป็นการปกครองที่ดีไม่คำนึงถึงประโยชน์เฉพาะของผู้ปกครองเองเป็นที่ตั้ง แต่จะคำนึงถึงประโยชน์ของนครรัฐและคนทุกกลุ่มเป็นที่ตั้ง
ระบอบนี้มีความอุดมคติสูง และเป็นไปได้ยาก เพราะ
1) จะหาคนที่ดีเลิศทั้งความรู้ และคุณธรรมได้จากไหน
2) ถ้ามีคนผู้นี้อยู่จริงก็คงไม่ยอมลดตัวมาเป็นผู้ปกครอง เพราะเต็มไปด้วยภาระและปัญหา
ในความเป็นจริงมีแนวโน้มว่าจะได้ผู้นำที่ด้อยความสามารถ และอาจกลายเป็นทรราช
2. ทรราชย์ (Tyranny)
คือ การปกครองโดยคนคนเดียวที่มีอำนาจ ไม่มีการสืบสายโลหิต ใช้อำนาจเป็นไปตามอำเภอใจ (Arbitrary) ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีความแน่นอน สั่งการแต่ผู้เดียว มักเป็นการปกครองโดยใช้กำลังบังคับ
3. อภิชนาธิปไตย (Aristocracy)
คำว่า Aristocracy มาจากคำว่า aristoi เป็นภาษากรีก แปลว่า ความฉลาด ความสามารถพิเศษ + kratos แปลว่า การปกครอง รวมกันคือ การปกครองโดยคณะ / กลุ่มคนส่วนน้อยที่มีความสามารถ มีความรู้ มีการศึกษา และเป็นชนชั้นสูง ที่มุ่งประโยชน์ส่วนรวม จุดอ่อนก็คือ มีแนวโน้มที่จะกลายเป็น คณาธิปไตย
4. คณาธิปไตย (Oligarchy)
เป็นการปกครองโดยกลุ่มบุคคล แต่เป็นกลุ่มซึ่งรวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะ อาจจะมาจากหลายชนชั้น หรือมีการศึกษาหรือวิชาชีพร่วมกันก็ได้ เช่น ทหาร ตำรวจ นักการเมือง กลุ่มคนมีเงิน ที่เรียกว่า ธนาธิปไตย (Plutocracy) โดยเอื้อผลประโยชน์แก่กลุ่มของตน
5. ประชาธิปไตยแบบมวลชน (ทางตรง) (Democracy)
หรือที่เรียกกันว่า มวลชนาธิปไตย แบบนครรัฐกรีก มีข้อเสียอยู่ 5 ประการ คือ
1) คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้และคุณธรรม แม้จะมีความเห็น ก็เป็นความเห็นที่ไม่มีความรู้
2) คนส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ ทำให้เกิดการปกครองที่ไม่ดี
3) คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มใช้ความรู้สึกและอารมณ์ในการตัดสินใจ
4) คนส่วนใหญ่จะทำให้เกิดความยุ่งเหยิง โกลาหล วุ่นวาย
5) ประชาธิปไตยมีสมมติฐานที่ผิดพลาด ในเรื่องความเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง
6. ประชาธิปไตยแบบผสม (Polity)
มีผู้ปกครองกลุ่มเล็กที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่มีที่มาจากคนกลุ่มใหญ่ที่เป็นชนชั้นกลางซึ่งมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่มีการศึกษา มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลาง ระบบ Polity สอดคล้องกับการปกครองประชาธิปไตยในปัจจุบัน คนที่รวยมาก มักจะฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิมไม่เห็นหัวคนอื่น ส่วนคนจนก็ไม่มีเหตุผล
ปรัชญาการเมืองแบบเสรีนิยม (Liberalism)
- สังคมใ