ประวัติความเป็นมา วันพืชมงคล
แต่เดิมนั้น พิธีพืชมงคลกับพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นแยกออกจากกัน จนกระทั่งเมื่อพ.ศ.2479 สถานการณ์โลกและบ้านเมืองในขณะนั้นไม่เหมาะสมจัดงาน จึงได้ว่างเว้นไป กว่า 10 ปี จนกระทั่งถึงพ.ศ. 2490 รัฐบาลในขณะนั้นได้ฟื้นฟูพิธีนี้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการเกษตร โดยการจัดพิธีนี้ขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรทุกคน ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงพิธีพืชมงคลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนเมื่อพ.ศ. 2503 จึงได้มีการนำเอาพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญมารวมเข้ากันกับพิธีพืชมงคล ซึ่งกลายมาเป็นพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญดังเช่นปัจจุบัน
สำหรับพิธีพืชมงคลนั้นถือเป็นพิธีพุทธ มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์พิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน ฯลฯ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี
ในส่วนของพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้นถือเป็นพิธีพราหมณ์ เริ่มต้นด้วยการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว จากนั้นจึงนำของเสี่ยงทายต่างๆ มาให้พระโคกิน ส่วนใหญ่จะเป็นหญ้า ข้าวเปลือก เหล้า ข้าวโพด ถั่วเขียว งา และน้ำ เมื่อพระโคกินสิ่งใด ก็จะมีการทำนายออกมา เพื่อเป็นแนวทางให้แก่เหล่าเกษตรกรนำไปปรับใช้กับเรือกสวนไร่นาของตน แม้ว่าปัจจุบันการเกษตรจะไม่ได้พึ่งพาธรรมชาติเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังมีการนำอาหารมาให้พระโคกินเพื่อเสี่ยงทายเช่นเดิม
หลังจากพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเสร็จสิ้นแล้ว เกษตรกรที่มาเฝ้าดูการประกอบพิธีจะเข้าไปเก็บเมล็ดพันธุ์ที่พระยาแรกนาใช้หว่านในพิธีเพื่อนำไปเป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับเพาะปลูกต่อไป แต่ส่วนมากนิยมเก็บเอาไว้เพื่อเป็นสิริมงคลเสียมากกว่า